รายได้เสริมเริ่มจากความรู้ในตัวเรา
ปัจจุบันการหารายได้เสริมหรือ ทำงานพิเศษ เป็นวิธีการแก้หนี้ที่ผลลัพธ์ดีมากและยั่งยืนมาก ไม่เพียงแบ่งเบาภาระของครอบครัว แต่ยังทำให้เรา รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง โดยใช้ความรู้ที่มีอยู่ในตัวเรา มาเปลี่ยนเป็นรายได้ ครั้งนี้เราจะว่าด้วยการหารายได้เสริมจากการเป็นติวเตอร์ หรือการสอนพิเศษ 1.จุดเริ่มต้นของรายได้ต้องทำยังไง เริ่มจากการสำรวจตัวเองว่า วิชาไหนที่ระหว่างเรียนเราได้เกรดหรือคะแนนที่ดีเยี่ยมและมีความเข้าใจแตกฉาน มีความถนัดหรือชอบเป็นพิเศษ นั่นคือเป้าหมายในการเป็นติวเตอร์ในเรื่องนั้นๆ เพราะการที่จะเป็นติวเตอร์ เราต้องมีความแตกฉานในวิชานั้นๆ มากพอ เพื่อที่จะถ่ายทอดให้ผู้ที่สนใจหรืออยากมาติวกับเราเกิดความเข้าใจได้ในเวลาที่สั้น ประกอบกับทักษะการสื่อสารต้องอยู่ในระดับที่ดีมาก พูดเก่ง อธิบายได้คล่องหรือย่อยความรู้ออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจ โดยเริ่มสรุปประเด็นสำคัญไว้ในสมุดก่อน และอธิบายคนรอบข้าง หรืออัดเสียงตัวเองเพื่อให้เกิดความชำนาญ ความมั่นใจ ก่อนนำออกไปเผยแพร่หรือสอนคนอื่น ในทุกช่องทาง ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ 2.ควรเลือกสอนจากวิชาที่ถนัด เลือกสอนวิชาพื้นฐาน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย สังคม โดยเริ่มติวจากบทเรียนในหนังสือและเกร็งข้อสอบ เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสทำคะแนนดีขึ้น หรือเพื่อการสอบเข้าสถาบันดังๆ ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับผู้เรียนได้ หรือถ้าผู้สอนมีความสามารถพิเศษอื่นๆ อีก
ฝึกตนเองให้เรียนรู้เร็วแบบติดจรวด
หากต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนาตนเอง ควรเริ่มจากการเปลี่ยนทัศนคติหรือเปลี่ยนความคิด ต้องมีเป้าหมาย มีแรงจูงใจ แรงบันดาลใจ เรามาดูกันว่าทางลัดของการเรียนรู้แบบติดจรวดทำอย่างไร 1.เรียนรู้จากประสบการณ์จริง การเริ่มต้นใหม่นั้นต้องอาศัยประสบการณ์ ซึ่งการถาม อาจจะได้รับคำตอบที่ไม่เพียงพอ ควรสืบค้นเพื่อหาคำตอบเพิ่มเอง ไม่ว่าจะเป็นการหาข้อมูล ขั้นตอน ความรู้ รวมไปจนถึงลงมือลองทำด้วยตนเอง เพราะอะไรก็ตามที่เราศึกษาหาข้อมูลเอง ลองผิดลองถูกเอง เรามักจะรู้ลึกรู้จริง ต่อสิ่งที่ทำนั้น เพราะนอกจากต้องหาความรู้แบบ 360 องศา แล้วยังต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์และสังเคราะห์มาพอสมควร เมื่อเราทำซ้ำๆ ย้ำๆ หลายเรื่อง เราก็รู้มาก รู้กว้าง รู้ลึก โดยฝึกฝนตนเองให้แตกฉานและแม่นยำ จนชำนาญ ทั้งในวิชาความรู้และวิธีการสอนแบบกระจ่าง และสามารถที่จะแบ่งปันความรู้ แนวคิดต่าง ๆ ให้ผู้อื่นได้อีกด้วย 2.เรียนรู้การบริหารเวลา ทุกคนมีเวลาเท่ากันในแต่ละวัน แต่ถ้าเราบริหารเวลาได้ดีให้คุ้มค่ากับเรื่องที่จำเป็นทุกเรื่อง ผลลัพธ์ที่ดีย่อมตามมา แต่หากมีบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่อยากทำ แต่จำเป็นต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ เราควรเร่งจัดการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วทันที
กาแฟกับการเดินทางของชีวิต
กาแฟเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่สำคัญในชีวิตประจำวัน เพื่อแก้ง่วงและช่วยให้ตื่นตัว เป็นเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ต้องทานกาแฟ เนื่องจากในเมล็ดกาแฟมีคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารในกลุ่มแซนทีนอัลคาลอยด์ มีรสขม ช่วยกระตุ้นสมอง กว่าจะเป็นกาแฟที่หอมกรุ่น รสชาติดี ในแต่ละแก้วนั้น กาแฟนั้นต้องผ่านกรรมวิธีและวิธีการผลิตหลายขั้นตอน เช่น เริ่มจากการคัดสรรเมล็ดกาแฟ เพื่อการปลูก ลดน้ำผวนดิน เก็บเกี่ยว ตากแห้งจนขั้นตอนกะเทาะเปลือก บ่มกาแฟ สีกะลากาแฟ คั่ว และในที่สุดสกัดมาเป็นกาแฟ ซึ่งเปรียบเทียบกับชีวิตของเรา ที่ได้รับการเลี้ยงดูฟูมฟัก จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ผ่านการอบรมสั่งสอน ใส่ใจให้ความรัก ให้ได้เรียนรู้ ให้ได้รับการศึกษา เป็นความสมบูรณ์ของชีวิต กาแฟมีเพียงรสชาติเปรี้ยวหรือขม แต่หากได้ผสมกับ น้ำตาล นมข้น ครีมเทียม หรือ โกโก้ จะทำให้กาแฟนั้นมีรสชาติกลมกล่อมอร่อยมากๆ เช่นเดียวกับชีวิตของเราที่ไม่ได้มีเพียงด้านเดียว เราต้องพบเจอกับความหลากหลายรสชาติของชีวิต ต้องพบเจอกับความสุข ความทุกข์
โพสต์หรือแชร์ แบบถูกวิธีที่ควรรู้
ปัจจุบันในโลกโซเชียลสามารถเข้าถึงทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งก่อนที่เราโพสต์หรือแชร์ควรทราบข้อกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้สร้างสรรค์ได้ริเริ่มโดยการใช้สติปัญญาความรู้ ความสามารถ และความวิริยะอุตสาหะของตนเองในการสร้างสรรค์ โดยไม่ลอกเลียนแบบงานของผู้อื่น โดยผู้โพสต์หรือผู้แชร์หรือผู้ดาวน์โหลด เพื่อลดการถูกฟ้อง การปั่นป่วนในโลกโซเชียล ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และมั่นใจในข้อมูลนั้นเป็นความจริง งานสร้างสรรค์ เช่น บทความ หนังสือชอฟต์แวร์ เพลง รูปภาพ ภาพวาด ภาพถ่าย ภาพข่าวภาพยนตร์ ละคร ข่าวประจำวันทั่วไป โดยข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่รายงานเพียงแค่แจ้งว่า ใคร ทำอะไรที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ ไม่เข้าข่ายงานอันมีลิขสิทธิ์ เราจึงสามารถเอามาใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ถ้าหากได้มีการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นไปแล้ว ควรรีบดำเนินการติดต่อกับผู้ที่เราละเมิดเพื่อหาทางเจรจา ผ่อนหนักเป็นเบา และลบสิ่งที่โพสต์ให้เร็วที่สุดเพื่อลดการขยายเป็นวงกว้าง นอกจากนี้ การโพสต์ข้อความที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายหรือเสื่อมเสีย
ทำทันทีเพื่อความสุขอันยิ่งใหญ่
หลายคนคงเริ่มฉุกคิดสำหรับตัวเองในปีนี้หรือปีหน้าว่าจะมีเรื่องอะไรดีๆเข้ามาบ้าง ทั้งเรื่องส่วนตัว ครอบครัวการเงิน การทำงาน และการดำเนินการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นควรเริ่มวางแผนทันทีให้กับตนเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนชีวิตให้มีอิสรภาพ และมีความสุขอย่างยั่งยืน ในยุคที่มีความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับโลกที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันทั้งภาวะเศรษฐกิจ ภาวะโควิด 19 ภาวะสงคราม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงทั้งเรื่อง การเงิน การงานและชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคนมีปัญหาหลายด้าน ทำให้ต้องนำเงินที่เก็บออมเผื่อฉุกเฉิน ออมเพื่อลงทุน ออกมาใช้จ่าย เพื่อตนเอง ครอบครัวและช่วยเหลือคนรอบข้าง ต้องพยายามที่ปรับตัวและสร้างวินัยที่ดีในตนเอง โดยการทำงานให้ดี การบริหารการเงิน และพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง เพื่อให้เราปรับเปลี่ยนนิสัยที่ฝังรากลึก เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย และสามารถเอาชนะจากวิกฤติหรือสถานการณ์ต่างๆได้ การแบ่งงานที่สำคัญที่สุดก่อนและค่อยทยอยทำที่เหลือให้เสร็จ ซึ่งช่วยลดความกดดันที่จะต้องทำงานเป็นจำนวนมากในเวลาจำกัด ส่วนการเงินให้หักเงินออมทันที 10 เปอร์เซ็นและค่อยทยอยเพิ่มให้ถึง 1 ใน 4 ของรายได้ต่อเดือน เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน และเพื่อชำระหนี้ให้ตรงเวลา
กำลังใจ เปลี่ยนวิธีคิด พิชิตหนี้
บีเป็นคุณพ่อมีลูกติดเป็นผู้หญิงน่ารัก 1 คน และมีรถยนต์ สำหรับใช้ทำมาหากิน ผู้ไม่เคยเป็นหนี้ สามารถดูแลเลี้ยงดูครอบครัวได้เป็นอย่างดี และตัดสินใจแต่งงานกับ ซีพนักงานบริษัทเอกชนสาวสวย มีหนี้ก้อนใหญ่ติดตัวมาด้วย 200,000 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้ ซีวางแผนชำระหนี้แบบผ่อนยาวๆ ใช้ระยะเวลา 4 ปี แต่เมื่อได้แต่งงานจึงมาการวางแผนการเงินร่วมกันและมีกำลังใจที่ดี ทั้งคู่จึงมีความคิดและแรงผลักดันอย่างแรงกล้า โดยหาข้อมูลและปรึกษาเจ้าหนี้ แบบหลากหลายวิธี เพื่อให้ซี สามารถปลดหนี้ก้อนนี้ให้ได้ภายในระยะเวลา แค่ 20 เดือนเท่านั้น โดยวิธีที่ทั้งคู่ วางแผนแก้หนี้ คือ การวางแผนแก้หนี้ 1.ย้ายที่อยู่ถิ่นฐานมาใช้ชีวิตกับครอบครัวทั้ง 3 คนเพื่อลดค่าครองชีพที่ต่ำกว่าเดิม เพื่อเหลือเงินเก็บให้มากขึ้น โดยการดำเนินชีวิตให้ใกล้เคียงแหล่งเดิมให้มากที่สุด 2.ระมัดระวังการใช้บัตรเครติด บัตรกดเงินสด โดยเปลี่ยนเป็นการจ่ายเงินสดแทน ประกอบกับพื้นที่ส่วนใหญ่ใช้เงินสด จึงทำให้ไม่ก่อหนี้เพิ่มขึ้น 3.ทั้งคู่ มีความรู้และฝีมือ โดยซีมีความสามารถเรื่องการตัดเย็บและออกแบบเสื้อผ้า ส่วนบี
เจ้าหนี้ ยึด/อายัด ทรัพย์สินอะไรได้บ้าง?
ลูกหนี้จำนวนมาก ไม่ทราบผลกระทบของการเป็นหนี้เสีย (NPL) หรือหนี้ค้างชำระเกินกว่า 90วัน ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือการสูญเสียความน่าเชื่อถือ เพราะเมื่อเจ้าหนี้ตรวจสอบประวัติจะทราบทันทีว่า ลูกหนี้รายนี้เคยมีประวัติค้างชำระหนี้เกินกว่า 90วัน จึงทำให้ลูกหนี้เสียโอกาสในการขอสินเชื่อ ที่หนักกว่านั้นคือ หากยังไม่มีการเจรจาแก้ไขหนี้ ย่อมจะถูกติดตามทวงถาม ถูกดำเนินคดี จนกระทั่งถูกพิพากษา และบังคับคดี ดังนั้นเรามาดูกันว่าในชั้นบังคับคดี เจ้าหนี้สามารถยึด หรืออายัดอะไรได้บ้าง และ ยึดหรืออายัดอะไรไม่ได้บ้าง 1.เจ้าหนี้ยึดอะไรได้บ้าง การยึดทรัพย์สิน หมายถึง การบังคับเอากับทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อรับชำระหนี้ ให้บรรลุผลตามคำพิพากษา สิ่งที่เจ้าหนี้สามารถยึดได้ เช่น 1.บ้าน ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของลูกหนี้ ทั้งที่ติดจำนองหรือไม่ติดจำนอง 2.รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของลูกหนี้ และไม่ได้เป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพ 3.ของมีค่า เครื่องประดับที่มีมูลค่า เพชร พลอย นาฬิกา สร้อยคอทองคำและของสะสมที่มีมูลค่ารวมเกิน100,000 บาท 4.ของใช้ส่วนตัว
วิธีคิดแบบผิดๆในการสร้างเครดิตทางการเงิน
1.จำนวนบัตรเครดิต ช่วยเพิ่มเครดิตทางการเงินต่อสถาบันการเงิน หลายคนมีความเชื่อที่ว่า จำนวนบัตรเครดิตเยอะ ๆ จะช่วยเพิ่มคะแนนเครดิตให้กับเรา ซึ่งนั่นอาจจะถูกแค่ครึ่งหนึ่ง เพราะจำนวนบัตรเครดิตที่เยอะ ไม่ได้ส่งผลต่อคะแนนของคุณในระยะยาว แต่หากบัตรเครดิตแต่ละใบมียอดคงค้างชำระอยู่มาก การมีบัตรเครดิตเยอะก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มคะแนนเครดิตอย่างไร ซ้ำยังลดทอนคะแนนเครดิตของเราไปอีกด้วย ดังนั้นหากใครที่มีบัตรเครดิตอยู่หลายใบ และอยากจะสร้างคะแนนเครดิตที่ดี ควรจะชำระยอดหนี้คงค้างในแต่ละใบให้ครบทั้งหมด นั่นถึงจะเป็นส่วนช่วยเพิ่มคะแนนเครดิตให้แก่เรา 2.การประเมินเครดิตทางการเงินของสถาบันการเงินขึ้นอยู่กับลักษณะผู้กู้ หากมีคนบอกเราว่า การสร้างคะแนนเครดิตจะขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ภายนอก นั่นเป็นความเชื่อที่ผิดอย่างมหันต์ เพราะสถาบันทางการเงินจะตรวจสอบความน่าเชื่อถือทางเครดิตของเราจากเอกสารประวัติทางการเงิน และเอกสารประกอบการกู้อื่น ๆ เช่น สลิปเงินเดือน รายการเดินบัญชีย้อนหลัง ภาระหนี้ การค้างชำระหนี้ ซึ่งคะแนนเครดิตของเราจะเพิ่มหรือลดขึ้นอยู่กับเอกสารเหล่านี้ ไม่ใช่ภาพลักษณ์ภายนอกแต่อย่างใด 3.การปิดบัตรเครดิตใบเก่าแล้วเปิดใบใหม่ สามารถเพิ่มเครดิตทางการเงินต่อสถาบันการเงินได้ ระยะเวลาในการค้างชำระหนี้ และการปิดหนี้มีผลต่อคะแนนเครดิตของเรา กลับกันในความเชื่อที่ว่าการค้างชำระหนี้มาระยะยาวนาน แล้วพอจะสร้างคะแนนเครดิตด้วยการปิดหนี้บัตรเครดิตใบเก่าแล้วเปิดบัตรใบใหม่จะช่วยสร้างเครดิตทางการเงิน ซึ่งนั่นถือเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะการค้างชำระหนี้นาน ๆ ย่อมส่งเสียต่อคะแนน และเครดิตของเรามากกว่า ซึ่งอาจส่งผลให้เราขอสินเชื่อได้ยากขึ้น ดังนั้นทางที่ดีเราควรชำระหนี้ให้ตรงต่อเวลา เพื่อไม่ให้เกิดหนี้คงค้างจะดีที่สุด 4.เครดิตทางการเงินของคู่สมรส
วิธีการสร้างเครดิตสกอริ่ง ให้กู้เงินผ่านฉลุย
เคลียร์หนี้ก้อนเก่า ไม่สร้างหนี้ก้อนใหม่เพิ่ม ยอดหนี้ค้างชำระของหนี้เก่า จะเป็นตัวบ่งชี้ได้เลยว่าเรามีความสามารถที่จะชำระหนี้ได้ไหม่ในอนาคต เมื่อเทียบรายได้ที่เข้ามาในแต่ละเดือน และถ้ายังไม่หยุดสร้างหนี้ใหม่ จะมียอดที่ค้างชำระสูง และสภาพคล่องไม่ค่อยดีนัก ซึ่งก็อาจทำให้สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อให้กับเรา และเราก็จะพลาดโอกาสในการที่จะได้สินเชื่อ ชำระหนี้ตรงเวลา ต้องจำวันครบกำหนดชำระหนี้ให้แม่นยำ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในทุก ๆ เดือนจะมีระยะเวลาในการชำระหนี้ ควรที่จะชำระภายในเวลาที่กำหนด แต่ถ้าเราชำระหนี้ไม่ตรงเวลา หรือชำระล่าช้าไปกว่ากำหนดก็จะต้องเสียดอกเบี้ย ค่าปรับ และสถาบันการเงินจะนำมาใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินว่าเรามี เครดิตสกอริ่ง ดีมากน้อยจากพฤติกรรมในการชำระหนี้ และถ้าเราไม่ยอมชำระหนี้ รูดบัตรเพิ่มหนี้ใหม่เข้าไปอีก เครดิตเราก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะรายจ่ายมากกว่ารายได้ จ่ายเต็มหรือให้เกินขั้นต่ำ การจ่ายน้อยกว่าขั้นต่ำจะมีดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายเพิ่ม และมันบ่งชี้ให้เห็นเลยว่าเรายอมที่จะเสียดอกเบี้ยแพงเพราะสภาพคล่องเราไม่ดี หมุนเงินไม่ทัน ตามปกติเราไม่อยากเสียดอกเบี้ยที่แพง แต่ที่เรายอมจ่ายดอกเบี้ยเพราะเรามีปัญหาด้านการเงิน ซึ่งสถาบันการเงินมีโอกาสมองเห็นจุดนี้ และถ้าจะขอสินเชื่อที่ก้อนใหญ่ เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์
วิธีการตัดสินใจด้วยกฎ 10 10 10
ในชีวิตของเราต้องมีเรื่องให้ตัดสินใจนับไม่ถ้วน แต่หลายๆครั้งเราก็ยังลังเลว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี เพราะในการติดสินใจในแต่ละครั้งนั้นมักส่งผลต่อชีวิตเราเองโดยตรง ในบทความนี้จะมาแนะนำวิธีตัดสินใจตามกฎ 10-10-10 โดยเมื่อถึงเวลาที่เราจะตัดสินใจให้เราแบ่งการตัดสินใจนั้นออกเป็น 3 ช่วงเวลา จะช่วยให้เราประเมินการตัดสินใจของตัวเองจากมุมมองที่แตกต่างกันสามแบบทำให้เรามองภาพรวมได้ดังนี้ เราจะรู้สึกอย่างไรกับการตัดสินใจนี้ภายใน 10 นาที โดย 10 นาทีจากนี้เป็นการมองที่ปัจจุบัน เราจะประเมินได้เลยว่าเราจะรู้สึกอย่างไรกับการตัดสินใจนี้ในทันที ชอบหรือไม่ชอบ ดีหรือไม่ดี เราจะรู้สึกอย่างไรกับการตัดสินใจนี้ในอีก 10 เดือนข้างหน้า จะเป็นการมองภาพระยะกลาง เราจะเริ่มเห็นผลกระทบจากการตัดสินใจของเราแล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้างในอนาคตข้างหน้าอย่างไม่ไกลเกินไป เราจะรู้สึกอย่างไรกับการตัดสินใจนี้ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นเหมือนการทำให้ถอยออกมามองสถานการณ์ปัจจุบันในมุมที่กว้างกว่าเดิมมาก โดยปราศจากอารมณ์ชั่ววูบ เพราะว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า เราจะรู้ได้เลยว่าการตัดสินใจของเรานั้น จะสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่มากขนาดไหนให้กับตัวเราในอนาคตข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราตัดสินใจกินข้าวกะเพราเป็นข้าวกลางวันมันคงไม่มีผลอะไรมากในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่ถ้าเราเลือกที่จะลาออกจากงานประจำ มันก็อาจจะมีผลกระทบกับชีวิตของเราเป็นอย่างมากในอีก 10 ปีข้างหน้านั่นเอง หลักสำคัญของกฎ