ปรับวิธีคิดเพิ่มศักยภาพในการทำงาน
เมื่อโลกพัฒนาไปไกล ความเชื่อและวิธีคิดบางอย่างต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เนื่องจากวิวัฒนาการต่างๆที่เข้ามาช่วยพัฒนาหลายสิ่งรอบตัว เราเองก็ต้องพัฒนาตัวเองและปรับวิธีคิดเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงาน ในบทความนี้จะมาแนะนำการปรับวิธีคิดเพื่อใช้พัฒนาตัวเองในการทำงาน ดังนี้ 1.เลิกคิดว่าการเรียนเกิดขึ้นแค่ในห้องเรียน เราต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดชีวิต เราเรียนรู้และพบเจอเรื่องใหม่ๆได้ในทุกวัน ดังนั้นเราจะต้องคอยอัพเดทความรู้ใหม่ๆให้ตัวเองเสมอ เพราะบางสิ่งที่เราเคยได้เรียนมาเมื่อสมัยเรียนอาจเป็นข้อมูลที่ล้าสมัยและไม่สามารถใช้ได้แล้ว ยิ่งเราเรียนจบทำงานแล้วก็จะต้องหาความรู้ใหม่ๆ และคอยอัพเดทในสิ่งที่เราเคยรู้อยู่เสมอเพราะสิ่งเหล่านี้จะสามารถทำให้คุณพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น เป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่ช่วยในเรื่องของการทำงานให้มีประสิทธิภาพ 2.อย่ากลัวที่จะทำงานกับคนเก่ง บางคนรู้สึกกังวลหากจะต้องร่วมงานกับคนที่มีความสามารถหรือคนที่เก่งกว่าเรา เพราะความกลัวว่าเราไม่มีความสามารถเท่ากับเค้าแล้วจะเป็นตัวถ่วงในการทำงานหรือเปล่า แต่อยากจะบอกว่าไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่แรก ทุกคนต้องได้รับการฝึกฝนและลองผิดลองถูกมาทั้งนั้น การได้ร่วมงานกับคนที่มีความสามารถจะเป็นวิธีนึงที่จะทำให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีสอนในหนังสือ จะมาจากประสบการณ์ทำงาน หรือวิธีการคิดของคนเหล่านั้น ซึ่งเมื่อได้ร่วมงานกันจะทำให้คุณซึมซับวิธีการเหล่านั้น และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับตัวเองได้ หากมีโอกาสได้ร่วมงานกับคนเหล่านี้ให้ห้รีบคว้าโอกาสไว้ 3.เลิกคิดว่าต้องทำแค่งานประจำ ในปัจจุบันโลกปรับเปลี่ยนไปมากเลิกคิดว่าเราจะต้องทำแค่งานประจำเพียงอย่างเดียวเพราะต้องทำงานเต็มเวลา ในปัจจุบันเราสามารถสร้างอาชีพผ่านโลกออนไลน์เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตัวเอง เช่น การขายของออนไลน์ หรืองานอื่นๆตามความถนัด เพียงแค่การทำสิ่งเหล่านี้จะต้องไม่ไปทับซ้อนกับเวลาการทำงานประจำ เพราะการทำงานอื่นๆนอกเหนือจากงานประจำจะทำให้เราได้พบกับประสบการณ์ใหม่ๆ และวิธีการใหม่ๆ ที่อาจจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานประจำได้ด้วย 4.เลิกคิดว่าเราสามารถทำงานคนเดียวได้ การทำงานนั้นถึงแม้ว่าเราเก่งมากแค่ไหนก็ไม่สามารถที่จะทำทุกอย่างได้คนเดียว ความสำเร็จของงานบางครั้งก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนรอบข้าง ดังนั้น การมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนร่วมงานไม่ใช่เพียงแค่จะทำให้งานเราออกมาสำเร็จเท่านั้น แต่เราจะได้พัฒนาทักษะด้านการเข้าสังคม และได้ฝึกในเรื่องของการเป็นผู้นำหรือผู้ตามที่ดีได้อีกด้วย ที่มา: https://www.bypichawee.co/single-post/how-to-improve-your-work
เงินกู้นอกระบบ น่ากลัวกว่าที่คิด
เราจะสังเกตุเห็นป้ายเล็กๆติดตามเสาไฟฟ้า และในป้ายนั้นก็จะเห็นข้อความชวนให้มอง เป็นหนังสือตัวโตๆเลยว่าเป็นเงินด่วนทันใจ ไม่ตรวจเอกสารใดๆแค่ใช้เพียงบัตรประชาชนเท่านั้นก็สามารถรอรับได้เลย รู้ผลภายใน 15 นาที ซึ่งเงินกู้พวกนี้ก็คือ เงินกู้นอกระบบ ดอกเบี้ยสูงจนเกินกว่าที่กฏหมายกำหนดไว้มากๆ แม้จะมีจุดขายด้วยการให้เงินด่วนแบบไม่ตรวจเอกสารได้เงินมาจริง แต่ก็การติดตามหนี้ก็มีการทวงเงินที่โหดและด่วนรุนแรงนั้นยอมไม่แพ้กัน ดอกเบี้ยสูงมาก ดอกเบี้ยแค่ร้อยละ 10 ต่อเดือน หนี้รายวันก็ดูเหมือนผ่อนไหว แต่มาคิดดูว่าดอกเบี้ยเท่ากับ 120% ต่อปีนั้น แซงหน้าเงินต้นไปกว่าเท่าตัว หากได้เข้าเริ่มกู้เงินก้อนแรกแล้ว จะไม่สามารถออกจากวงจรนี้ได้เลย ซ้ำร้ายหลายคนต้องไปกู้เพิ่มเพื่อมาจ่ายดอก ทำให้เป็นทาสไปตลอดชีวิต (แล้วถ้าบางรายเสียดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อเดือนล่ะแทบไม่อยากคิดตาม) ลองมาทำความเข้าใจกันชัดๆ ระหว่างดอกเบี้ยของหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบสมมติกู้เงินที่ 10,000 บาท หนี้ในระบบ ดอกเบี้ย 23%ต่อปี คืนเงินใน12 เดือน เงินต้นและดอกเบี้ยรวม 11,289.12 บาท = ดอกเบี้ย 1,289.12 บาท หนี้นอกระบบ
ความสำคัญของแบบทดสอบสุขภาพการเงิน
การความรู้ทางการเงินในปัจจุบันมี มีกิจกรรมต่างๆมากมายที่ให้เราสามารถเข้าร่วมได้ แต่หนึ่งในสิ่งที่มักจะเห็นบ่อยๆ นั่นคือการให้ตรวจสุขภาพทางการเงิน ซึ่งผู้อบรมหลายๆท่านอาจจะไม่เห็นความสำคัญในการทำแบบสอบถามนี้ แต่จริงๆแล้วการทำแบบสอบถามเหล่านี้จะทำให้เราตรวจสอบสุขภาพทางการเงินของตัวเองด้วยคำถามเพียงไม่กี่คำถามก็จะสามารถทราบผลสุขภาพทางการเงินได้แล้ว โดยส่วนใหญ่ผลที่ออกมาจะมี 3 แบบ ดังนี้ 1.สุขภาพทางการเงินอ่อนแอ อาจจะมีเหตุผลมาจากทัศนคติ และพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่ได้มีการวางแผน ซึ่งผลนี้ก็จะทำให้คุณได้ทบทวนพิจารณาวางแผนการใช้จ่าย หาแนวทางเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น เพื่อที่จะทำให้สุขภาพทางการเงินดีขึ้น และเป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ 2.สุขภาพการเงินปานกลาง สถานะนี้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาคควรระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย และเพื่อเพิ่มพูนมูลค่าเงินที่มีอยู่ควรเริ่มมีการออมและลงทุนเพิ่มมากขึ้นด้วย เพื่อให้สุขภาพทางการเงินมีความเข้มแข็งมากขึ้น 3.สุขภาพทางการเงินดีมาก คนที่มีสุขภาพการเงินดีมากนั่นหมายความว่าเป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจและทัศนคติการใช้เงินที่ดี รวมถึงมีวินัยทางด้านการออมและการลงทุนที่ดีอีกด้วย แต่ถึงแม้จะอยู่ในสถานะนี้ก็ไม่ควรประมาท รักษาสิ่งดีๆเหล่านี้ไว้ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคง และมั่งคั่งให้แก่ตัวเอง ซี่งความสำคัญของแบบสอบถามเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้เราทราบผลสุขภาพทางการเงินเท่านั้นแต่ยังทราบไปถึง ทัศนคติ พฤติกรรมการใช้เงิน และเมื่อทราบสถานะของตัวเองแล้วก็จะได้รู้ว่าควรปรับปรุงหรือแก้ไขอย่างไรให้สถานะของเราไม่แย่ลง และพัฒนาให้ดีขึ้นได้อีก
บัญชีดำ หรือ Black List แค่คิดก็น่ากลัวจริงเหรอ ?
หากพูดถึงคำว่า Blacklist หลายคนคงจะมีนิยามกันแบบง่ายตามคำแปลก็คือ คำว่าบัญชีดำซึ่งก็หมายความว่ารายชื่อสีดำมันก็คือการถูกแบนในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเกิดจากอะไรนั้นเรามาดูกัน เกี่ยวกับเรื่องของการติด Blacklist ใครเป็นผู้นำชื่อเราเข้าในบัญชีดำกันแน่ คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นสถาบันการเงินที่เราเคยขอสินเชื่อบ้าง บางคนก็อาจจะคิดว่าผู้ขึ้นบัญชีดำเป็นคนกลางอย่างบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด .หรือคนทั่วไปเรียกว่า เครดิตบูโร ในวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันนะครับ
8 วิธีสู่ความฝัน
เพื่อให้ก้าวเข้าไปใกล้ความฝันของตัวเอง จนสู่ความเป็นจริง โดยเราแค่ลองเปลี่ยนความคิด และพฤติกรรมทั้งในที่ทำงาน และที่บ้าน ก็จะส่งผลให้เส้นทางสู่ความฝันของเราที่ไม่ไกลเกินเอื้อม กลายเป็นฝันที่เป็นจริง 1.ศึกษา เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา วิธีคิดง่ายๆที่จะช่วยให้เราเติบโต ควรที่จะศึกษาเพิ่มเติม หรือคอยอัพเดทอยู่เรื่อยๆ จะทำให้เรามีความชำนาญ และเข้าใจตามคนรอบข้างได้ทัน และหากเราลองเปิดใจรับ เรียนรู้ในเรื่องที่เราไม่ถนัดดูบ้าง ก็จะทำให้เราเป็นคนที่รอบรู้ มีความสามารถหลายด้านเพิ่มขึ้น 2.จัดลำดับความสำคัญให้ชำนาญ คนประสบความสำเร็จ สามารถลำดับความสำคัญได้ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เราจัดการกับชีวิตได้อย่างเป็นระบบ และจัดลำดับการทำงานได้ เราก็จะสามารถทำให้ผลงานของเราออกมามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และส่งผลทำให้ชีวิตของเราเป็นระบบ ไม่วุ่นวาย ลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้ด้วย 3.คิดได้ ลงมือทำ เมื่อตกผลึกทางความคิด และมีการวางแผนที่ดีแล้ว เราลองเพิ่มความพยายาม ผลักดันอีกนิด แล้วลงมือทำหรือปฎิบัติดู ก็จะทำให้เราได้ ประสบการณ์ต่างๆ การเรียนรู้สิ่งต่างๆเพิ่มขึ้น แล้วสรุปผลลัพธ์ในเรื่องที่เราคิดและลงมือทำ ว่าได้ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจเพียงไร 4.กล้าที่จะตัดสินใจ ในชีวิตการทำงานและครอบครัว ไม่ใช่แค่หัวหน้างาน หรือหัวหน้าครอบครัวเท่านั้น
7 วิธีรักตัวเอง
ยอมรับความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้นให้ได้ คิดว่าเป็นเรื่องปกติ จะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น เช่น ใช้บริการรถติดเป็นเวลานาน ก็คิดเสียว่าติดเป็นปกติ หรือไม่ก็ให้หันมาใช้รถไฟฟ้าแทน เพื่อจะได้ไม่อารมณ์เสีย และเสียเวลา หรือบางครั้ง อาจมีความหงุดหงิดจากความเหนื่อยล้าในการทำงานหนักเกินไป ก็ควรแบ่งเวลาพักผ่อนบ้าง 2.ยอมรับความผิดพลาดและความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง ไม่พยายามฝืนตัวเองเพื่อคนอื่น เพียงเพราะต้องการความยอมรับหรือความสนใจ และหากตัวเองทำบางอย่างผิดพลาด ไม่ควรโทษหรือทำร้ายตนเองจนกลายเป็นการบั่นทอนกำลังใจ แต่ควรยอมรับและเรียนรู้จากความผิดนั้น เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง 3.ชื่นชมตัวเองทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต การชมตัวเองบ่อย ๆในเรื่องเล็กๆน้อยๆ จะช่วยเติมเต็มหรือสร้างความภูมิใจในตัวเอง และช่วยเสริมสร้างกำลังใจในการใช้ชีวิตในแต่ละวันเป็นอย่างดี 4.ใช้เวลาในการตัดสินใจในการตอบรับ โดยไม่จำเป็นต้องตอบรับทุกเรื่อง โดยเฉพาะสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้ ก็ควรปฏิเสธ เพราะการรับปากไปก่อนอาจสร้างปัญหา ความลำบากใจได้ในภายหลัง 5.เชื่อมั่นในการตัดสินใจของตนเอง ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ไม่ควรยึดติดกับความคิดเห็นของผู้อื่นมากเกินไป เพราะเราไม่สามารถทำให้ทุกคนพึงพอใจหรือทำตามความคาดหวังของทุกคนได้ 6.ไม่ควรเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น แต่ละคนมีความสามารถมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน การคิดว่าเราไม่เก่ง ไม่พร้อม หรือไม่มีข้อดีเหมือนคนอื่น จะยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าในตัวเองลดลง เราควรแสดงจุดเด่นและข้อดีของเราที่มี ให้คิดเสมอว่าแต่ละคนย่อมมีดีกันทุกคน 7.หากรู้สึกไม่สบายใจ
5 วิธีบริหารสมองและอารมณ์
การทำให้สมองแข็งแรง โดยการออกกำลังใจจึงมีความสำคัญ เนื่องจากสุขภาพสมองเป็นตัวชี้วัดว่าสมองของคุณทำงานได้ดีขนาดไหนในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะป็นการคิด การเรียนรู้ และการจดจำได้ดีขนาดไหน จนถึงสุขภาพทางอารมณ์ เล่นเกม หรือการทำกิจกรรม โดยการเล่นสแคร็บเบิล จิ๊กซอว์ เกมไพ่ เกม Candy Crush เกมปริศนาตัวเลข ปลูกต้นไม้เลี้ยงสัตว์ เป็นวิธีคลายเครียด ผ่อนคลาย สบายๆ ในการท้าทายความคิด นิ่งสงบ และมีสมาธิ พยายามหาสิ่งใหม่ เพื่อให้มีความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ ฝึกหัดเล่นเครื่องดนตรี เพิ่มภาษา หรือวาดรูปศิลปะ ช่วยให้รู้สึกมีความสุขและสุขภาพดีขึ้นได้ เป็นการกระตุ้นจิตใจด้วย สามารถพัฒนาความจำให้ดี โดยร่วมกิจกรรมใหม่ๆ แปลกๆ เพื่อเพิ่มทักษะ และมีการเรียนรู้ เพิ่มความรู้
4 วิธีสร้างกำลังใจให้คนรอบตัว
1.สร้างกำลังใจด้วยรอยยิ้มและความจริงใจ รอยยิ้ม เป็นการสร้างกำลังใจที่ง่ายแต่ผลลัพธ์ที่ได้มาเกินคุ้ม เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยกล้าที่จะใช้คำพูด ก็จะมีรอยยิ้ม ในการสื่อความหมาย สามารถสื่อให้ผู้รับรู้ ว่าเรารักและเป็นห่วง จะรู้สึกได้ว่าเราให้กำลังใจมากน้อยและจริงใจ 2.พูดคุยกันและแลกเปลี่ยนความคิดในเชิงบวก การได้อยู่หน้าพร้อมหน้าพร้อมตากัน ถือเป็นโอกาสดี ที่คนในครอบครัวจะได้แสดงความคิดเห็นพูดคุย และช่วยกันเสนอแนวทางการแก้ไขอย่างพร้อมๆกัน และสร้างคำพูดๆ ต่อกันด้วยความจริงใจ สิ่งสำคัญควรใช้คำพูดที่เหมาะสมสร้างสรรค์ 3.อยู่เคียงข้างกันและให้กำลังใจกันเสมอ บางครั้งเราก็ไม่รู้หรอกว่าคนรอบข้างของเราเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น หรือเก็บอะไรไว้ในใจบ้าง หากเราสังเกตอาการของแต่ละคนแล้วว่ามีสีหน้าที่ไม่ดีนัก ร่างกายทรุดโทรม เราก็แค่เยียวยาโดยการนั่งข้างๆ หรือ พยายามอยู่ใกล้ๆเขาให้มากที่สุดเพื่อให้เขารู้ว่า เขาจะไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว อย่าปล่อยให้เขารู้สึกไม่เหลือใคร จนกว่าร่างกายและจิตใจ แข็งแรงและเข้มแข็งและเดินต่อไปได้ 4.เข้าไปสวมกอดหรือจับมือ การกอดถือเป็นภาษากายที่ช่วยให้คนที่ถูกกอดและคนที่สวมกอดรู้สึกถึงความอบอุ่นและความห่วงใจ ยิ่งเป็นคนใกล้ตัวหรือรอบข้างที่เรารักแล้วต้องกอดบ่อยๆ หรือจับมือเพื่อให้อุ่นใจ จะได้ช่วยเติมพลังงานและพลังใจที่ดีที่สุด ถ้าสามารถกอดหรือจับมือ ได้ทุกวันจะเสมือนการเพิ่มพลังให้กันได้ทุกวันนั่นเอง https://www.starfishlabz.com/blog/127-วิธีสร้างกำลังใจกับคนในครอบครัว เมื่ออยู่ในยุคโควิด : สืบค้นวันที่ 1 มี.ค.66
แนะนำ 3 แหล่งเพิ่มความรู้ทางการเงิน
ในปัจจุบันการเป็นหนี้มีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นมากในประเทศไทย ซึ่งการเกิดหนี้มาจากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเกิดจากสิ่งที่ใม่คาดคิด พฤติกรรมการใช้เงิน และอีกสาเหตุที่ทำให้คนกลายเป็นหนี้นั่นก็คือการขาดความรู้และความเข้าใจทางการเงินนั่นเอง แต่ในปัจจุบันผู้คนเริ่มตระหนักและหันมาให้ความสำคัญกับการบริหารเงินกันมากขึ้นแล้ว บทความนี้จึงจะมาแนะนำแหล่งเพิ่มความรู้ทางการเงิน ดังนี้ 1.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นแหล่งให้ความรู้ทางการเงินได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากความรู้ทางการเงินแล้วก็ยังให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอีกด้วย โดยสามารถเรียนรู้ได้ทั้งวิธีการออนไลน์ได้ที่ www.set.or.th ซึ่งในนั้นจะมีทั้งความรู้ทางการเงิน การลงทุน รวมถึงมีคอร์สเรียนฟรี เรียนเสร็จสามารถดาวน์โหลดวุฒิบัตรได้เลยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่หากใครชอบอ่านหนังสือตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มีห้องสมุดมารวยที่สามารถให้ประชาชนเข้าไปอ่านหนังสือได้โดยไม่มีค่าบริการ แต่หากต้องการยืมหนังสือกลับบ้านก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ 2.ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยก็เป็นแหล่งให้ความรู้ทางการเงินอีกที่ ที่สามารถหาความรู้ได้ทั้งแบบ Online และ Offline เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยมีทั้งศูนย์การเรียนรู้ที่เปิดให้กับประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปใช้บริการอ่านและยืมหนังสือได้ รวมทั้งยังมีเว็บไซต์ที่ให้ความรู้ทางการเงินอีกด้วยนั่นคือ www.1213.or.th 3.โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM หลายๆคนรู้จักโครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM ในด้านของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งจะเป็นในด้านของการแก้ไขปัญหาหนี้ แต่โครงการคลินิกแก้หนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ด้านการแก้ไขหนี้เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทของการให้ความรู้ทางการเงินเพื่อป้องกันปัญหาหนี้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย สามารถอ่านบทความทางการเงินได้ที่www.debtclinicbysam.com และนอกจากนี้โครงการคลินิกแก้หนี้ยังมีการออกบรรยายให้ความรู้ทางการเงินให้แก่หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถเพิ่มความรู้ทางการเงินให้กับทุกคนได้ ในปัจจุบันมีแหล่งศึกษาความรู้ทางการเงินอีกมากมายที่ทุกท่านสามารถเข้าถึงได้และไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งสามารถเลือกศึกษาตามความสนใจของแต่ละคนได้เลย
24 ชั่วโมง สร้างสมดุลชีวิต
ใน 1 วัน เราจะมีเวลาเพียง 24 ชั่วโมง สำหรับสร้างสมดุลชีวิต (Work Life Balance) ให้ชีวิตดีขึ้นด้วยหลักการแบ่งเวลาชีวิตเป็น 3 ด้านๆละ 8 ชั่วโมง คือ การพักผ่อนให้เพียงพอ ใช้เวลา 8 ชั่วโมง เวลาที่ดีที่สุดที่โกรทฮอร์โมนจะหลั่งออกมาคือระหว่าง 23.00 – 03.00 น.โดยตามปกติจำนวนชั่วโมงที่ดีที่สุดประมาณ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายและระบบอวัยวะต่างๆ ได้ฟื้นฟู และพักผ่อน และให้โกรทฮอร์โมนได้หลั่งออกมาขณะนอนหลับ ซึ่งถ้าหลับสนิทต่อเนื่องจะเป็นผลดีกับร่างรายอย่างมาก หากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะการเกิดโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่น โรคความดัน โรคไมเกรน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคอัลไซเมอร์และส่งผลต่อสมอง